6 สัญญาณ ริ้วรอยก่อนวัย ไม่อยากแก่ก่อนวัยต้องดูแลด่วน
การมีริ้วรอยบนใบหน้าไม่ใช่เรื่องตลก ทั้งรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก ร่องแก้ม รวมไปถึงตีนกา ที่มักจะเกิดกับคนสูงวัย แต่เดี๋ยวนี้เจ้าริ้วรอยกลับปรากฏกับคนที่อายุยังไม่มากด้วย ทำให้คุณเกิดความกังวลใจ ขาดความมั่นใจ แม้ว่าจะประโคมครีมบำรุงไปเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำให้ริ้วรอยหายไปได้ นั่นอาจเป็นเพราะคุณมีพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการเกิดริ้วรอยได้ง่ายนั่นเอง
แสงแดด มลภาวะ: สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องเจอทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมยังผลเสียต่อสุขภาพและผิวพรรณอีกด้วย ไม่ว่าจะทำให้ผิวคล้ำเสีย แห้งกร้าน เกิดริ้วรอย ดังนั้นเมื่อต้องไปเผชิญกับแสงแดด มลภาวะ ฝุ่นควันต่าง ๆ เราควรปกป้องผิวก่อนเสมอ ด้วยครีมกันแดด และเมื่อกลับถึงบ้านก็ต้องรีบล้างหน้าเช็ดสิ่งสกปรกออกให้สะอาดหมดจด
Lifestyle: การใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันนี้มักจะไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพกันเท่าไหร่ อาจจะด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ค่อนข้างเร่งรีบ ทำให้ส่งผลกระทบต่อการกิน การนอน ทั้งทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และนอนไม่เป็นเวลา รวมไปถึงคนที่ชอบดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่บ่อย ๆ จะทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็ว ส่งผลให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายมากขึ้น
ความเครียด: เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น มีริ้วรอย เพราะเมื่อเกิดความเครียด หลายคนมักจะแสดงออกมาผ่านทางสีหน้า อย่างการขมวดคิ้ว ยิ่งนานวันเข้าก็จะทำให้ริ้วรอยเห็นได้ชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นควรทำใจให้สบาย หาอะไรทำให้ไม่เครียดจนเกินไป ก็จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย และช่วยให้ผิวพรรณสดใสขึ้น
1.จุดด่างดำ ฝ้า กระ
หนึ่งในปัญหาผิวที่สามารถมองเห็นได้บนใบหน้าอย่างชัดเจน มีผลทำให้ผิวหน้าไม่สม่ำเสมอและยากต่อการปกปิด หลายคนอาจจะคิดว่าปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ เป็นปัญหาผิวของคนที่มีอายุมากเท่านั้น แต่ปัญหาผิวนี้สามารถพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย เนื่องจากมีสาเหตุการเกิดได้ทั้งฮอร์โมนภายในร่างกาย สภาพแวดล้อมภายนอก ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ขึ้นได้
จุดด่างดำ ฝ้า กระ ภาวะไฮเปอร์พิกเมนเทชั่นคืออะไร?
ภาวะไฮเปอร์พิกเมนเทชั่น (Hyperpigmentation) คือจุดด่างดำที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าหรือบางตำแหน่งบนร่างกาย เป็นภาวะที่ผิวหนังบางจุดมีสีเข้มขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดเป็นจุดด่างดำซึ่งมีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป โดยสาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นจากร่างกายผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปในบางตำแหน่งของผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าแลดูหมองคล้ำไม่ขาวกระจ่างใส โดยเราสามารถแบ่งประเภทของจุดด่างดำบนใบหน้าได้ 2 ประเภทคือ
ฝ้า (Melasma) เกิดจากเซลล์เมลาโนไซต์ที่อยู่ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุดของผิวหนัง ผลิตเมลานินหรือเม็ดสีออกมามากเกินจำเป็นบนหนังชั้นกำพร้า ทำให้เกิดเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลที่เห็นได้อย่างชัดเจน กระจายเป็นวงกว้างและมีขอบเขตที่ไม่ชัดเจนนัก โดยสามารถแบ่งฝ้าออกได้ 2 ประเภทคือ ‘ฝ้าตื้น’ และ ‘ฝ้าลึก’ ซึ่งมีปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน เช่น แสงแดด หรือฮอร์โมนภายในร่างกาย นอกจานี้ ฝ้ามักถูกเรียกว่า “หน้ากากของการตั้งครรภ์” หรือ “the mask of pregnancy” เนื่องจากพบในผู้หญิงตั้งครรภ์มากถึง 90%
กระ (Freckle) มีลักษณะการเกิดคล้ายกับฝ้าคือ เม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) ทำงานผิดปกติ จึงทำให้สีผิวบริเวณนั้นมีสีน้ำตาลหรือสีดำเป็นจุดเล็กๆ พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีผิวขาว ปรากฎตามใบหน้า ลำคอหรือส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อยๆ อาจมีสีเข้มขึ้นและกระจายเพื้นที่ใหญ่ขึ้นได้เมื่อถูกกระตุ้น โดยประเภทของกระสามารถแบ่งออกตามสาเหตุการเกิดได้ 4 ประเภทคือ กระตื้น กระแดด กระเนื้อ และกระลึก
เมลานิน คือ เม็ดสีตามธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้น อยู่ในผิวหนัง ผม และนัยน์ตาของเรา การผลิตเม็ดสีเมลานินจำนวนมากเกินไปเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หลักๆ นั้นมักเกี่ยวข้องกับการตากแดดมากเกินไป กรรมพันธุ์ อายุ การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน อาการบาดเจ็บหรืออักเสบของผิว
สาเหตุและปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำ
- พันธุกรรมและฮอร์โมน ถือเป็นปัจจัยภายในที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ เช่น ‘ฝ้า’ ที่มักพบได้ในคนช่วงวัย 30+ และผู้หญิงตั้งครรภ์ เพราะฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น งทำให้ฝ้าปรากฎขึ้นอย่างเด่นชัด หรือ ‘กระ’ ที่มักพบได้มากว่ามีสาเหตุการเกิดมาจากพันธุกรรม ทำให้บางคนมีกระขึ้นตั้งแต่ในวัยเด็ก หรือในกลุ่มที่มีผิวขาว เช่น ชาวยุโรป
- แสงแดด ศัตรูหมายเลขหนึ่งของสาวๆ และเป็นปัจจัยภายนอกที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ เพราะแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นโดยตรงในการการผลิตเม็ดสีเมลานินในผิว ซึ่งหน้าที่ของเมลานินเสมือนเป็นเกราะป้องกันแดดตามธรรมชาติของผิว และปกป้องผิวจากรังสียูวี ดังนั้น เมื่อเราตากแดดผิวจึงกลายเป็นสีคล้ำเนื่องจากร่างกายผลิตเมลานินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกตินั่นเอง แต่ถ้าหากเราเจอแดดมากเกินไป กระบวนการนี้อาจนำไปสู่ภาวะไฮเปอร์พิกเมนเทชั่น ทำให้เกิดเป็นจุดด่างดำ ฝ้า กระตามมา ส่งผลให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส กลายเป็นปัญหาหนักใจของสาวๆ ฉะนั้นการจำกัดเวลาในการอยู่กลางแดด สวมเสื้อยืดแขนยาวปกป้องผิว และใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดดสูงจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดจุดด่างดำได้
- ผลข้างเคียงจากการรักษาทางการแพทย์ แม้ว่าปัจจัยเหล่านี้จะไม่ใช่สาเหตุที่ส่งผลกระทบโดยตรง แต่ก็มีส่วนทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำขึ้นได้ ในผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีฮอร์โมนบำบัด การให้ยาเคมีบำบัด การใช้ยาประเภทอื่นๆ เช่น ยาคุมกำเนิด คนที่มีโรคประจำตัวและขาดวิตามินที่จำเป็น รวมถึงการทำทรีทเม้นต์หน้าด้วยการทำเลเซอร์ ที่อาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นในภายหลัง
วิธีรักษาจุดด่างดำ ฝ้า กระ
ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ เป็นปัญหาผิวที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถช่วยลดเลือนจุดด่างดำให้จางลงได้ ดังนี้
1.การทำทรีทเม้นต์หน้าเพื่อลดจุดด่างดำ
- เคมิคอล พีลคือการใช้สารที่เป็นกรดช่วยผลัดผิวหนังชั้นบนออก โดยการทำให้ผิวพุพองก่อน หลังจากผิวหลุดลอกไปแล้วก็จะมีผิวใหม่ที่สีสม่ำเสมอ
- การใช้เลเซอร์ ทำงานบนหลักการคล้ายกับเคมิคอล พีล คือทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างผิวใหม่ขึ้น แต่สามารถเจาะจงบริเวณที่จะทำการรักษาได้ เนื่องจากแพทย์ผิวหนังสามารถควบคุมความเข้มข้นของการรักษาได้ โดยลำแสงเลเซอร์สามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่ผิวหนังชั้นบนสุดจนถึงผิวหนังชั้นล่างสุด
- การทำทรีทเม้นต์ทั้งสองประเภทถือว่ามีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงในการรักษาจุดด่างดำ ฝ้า กระ แต่ก็มีราคาสูง ผิวหน้าอาจจะบวมแดงและต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังจากการรักษา นอกจากนั้นแล้วยังอาจสามารถสร้างความระคายเคืองให้กับผิวของบางคนได้ โดยเฉพาะคนที่มีผิวสีเข้ม
2.ครีมรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ
ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมามีผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งในท้องตลาดมากมายที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบโจทย์ในการลดเลือนการเกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ โดยเซรั่มหรือครีมรักษาฝ้ามักมีสารไวท์เทนนิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นส่วนประกอบสำคัญของครีมรักษาฝ้าดังนี้
- ไฮโดรควิโนน : เคยเป็นสารไวท์เทนนิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการช่วยลดเลือดจุดด่างดำ แต่สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ อาการแสบร้อน ตุ่มแดง เกิดภาวะผิวคล้ำมากขึ้นได้ การใช้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง
- อาร์บูติน : เป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งในทวีปเอเชีย ประสิทธิภาพไม่มากเท่ากับไฮโดรควิโนนและมีประเด็นเรื่องความปลอดภัย
- โคจิก แอซิด : เป็นสารที่เกิดขึ้นจากกระบวนการหมักสาเก เป็นทางเลือกที่ค่อนข้างปลอดภัยและมีความเป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินเท่าที่ควร
- วิตามินซี (VitaminC) : เป็นสารที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใสขึ้น มักใช้ร่วมกับสารออกฤทธิ์ประเภทอื่นๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
- เรตินอยด์ แอซิด : ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพในการลดเลือนจุดด่างดำ แต่ก็มักทำให้ผิวหนังระคายเคืองและไวต่อแดดมากขึ้น นอกจากนั้นยังไม่แนะนำให้ใช้สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรด้วย
- แอเซเลอิค แอซิด : ให้ผลลัพธ์ในการช่วยลดเลือนจุดด่างดำได้ดี แต่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการลดเลือนกระ นอกจากนั้นยังทำให้ผิวหนังระคายเคืองได้บี-รีซอซินอลหรือ สารที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า 4-butylresorcinol : เป็นสารสังเคราะห์ที่เป็นอนุพันธ์ของ Resorcinol สารชนิดแรกที่แสดงผลในการยับยั้งเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสีเมลานินทั้ง 2 ชนิดได้ และจากการวิจัยเปรียบเทียบพบว่า บี-รีซอซินอล มีประสิทธิภาพเหนือกว่าโคจิกแอซิด (5.6 เท่า) เหนือกว่าไฮโดรควิโนน (100 เท่า) และเหนือกว่าอาร์บูติน (380 เท่า)
- ไทอามิดอล : มีชื่อทางเคมีว่า Isobutylamido thiazolyl resorcinol เป็นสารไวท์เทนนิ่งในกลุ่มอนุพันธ์ Resorcinol ถูกคิดค้นโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาไบเออร์สด๊อรฟ เอจี เยอรมนี ได้รับการคิดค้นและวิจัยแล้วว่าเป็นสารไวท์เทนนิ่งที่ให้ประสิทธิภาพดีที่สุดในเวลานี้ จากผลการวิจัยพบว่า สารไทอามิดอลมีประสิทธิภาพในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส เพื่อลดการเกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ ได้ดีกว่าสารบี-รีซอซินอลถึง 10 เท่า และมากกว่าหลายร้อยเท่าเมื่อเทียบกับสารโคจิกแอซิดและอาร์บูติน
ซึ่งเซรั่มหรือครีมรักษาฝ้าและสกินแคร์ที่มีสารสำคัญต่างๆ ก็ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ ฝ้า กระได้ ดังนั้นยูเซอรินจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมลดฝ้าแดดและจุดด่างดำสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะ และเพื่อให้การบำรุงมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากผลิตภัณฑ์ที่มีสารสำคัญแล้วยังต้องใส่ใจเรื่องสกินแคร์รูทีนร่วมด้วย วันนี้เรามีสกินแคร์รูทีนทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนมาฝากสาวๆ ที่ต้องการดูแลปัญหาจุดด่างดำ ฝ้า กระโดยเฉพาะ
6 สัญญาณ ริ้วรอยก่อนวัย ไม่อยากแก่ก่อนวัยต้องดูแลด่วน
2.ปัญหา ริ้วรอย
ปัญหา ริ้วรอย ปัญหาผิวที่สามารถพบได้ตั้งแต่อายุ 25 ปี เป็นช่วงวัยที่ผิวของเราเริ่มส่งสัญญาณว่าผิวมีอายุมากขึ้น โดยสิ่งที่จะเริ่มเกิดขึ้นเป็นอย่างแรกบนใบหน้าคือริ้วรอยตื้นๆ และพัฒนาเป็นริ้วรอยที่มีขนาดใหญ่และลึกขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น กระบวนการการทำงานของเซลล์ผิวเริ่มช้าลง โครงสร้างของผิวเริ่มอ่อนแอ สารต่างๆ ที่ช่วยในการทำให้ผิวหนังเต่งตึงซึ่งร่างกายผลิตได้เองตามธรรมชาติเริ่มลดลงเรื่อยๆ แต่เราสามารถแก้ไขปัญหาและลดริ้วรอยบนผิวหน้าได้ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ และการทำทรีทเมนท์บางประเภทได้
ทำไมจึงเกิดริ้วรอยบนใบหน้า?
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น สารสำคัญที่ช่วยให้ผิวหนังดูเต่งตึง ชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ซึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติในปริมาณที่เพียงพอเริ่มลดจำนวนลง เช่น อิลาสติน กรดไฮยาลูรอน หรือคอลลาเจนที่จะผลิตได้น้อยลงประมาณปีละ 1% ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง ผิวจึงเริ่มหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยบนใบหน้าตามจุดต่างๆ นอกจากนี้ กรดไฮยาลูรอนที่ร่างกายผลิตได้น้อยลงก็จะส่งผลกระทบให้โครงสร้างของชั้นผิวหนังหลวมขึ้น เซลล์ไม่อุ้มเกาะน้ำและเกาะกันแน่นเหมือนเคย ขาดความหนาแน่นใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย ไม่กระชับ เกิดเป็นรอยเหี่ยวย่นขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วริ้วรอยมักจะเกิดขึ้นในบริเวณเฉพาะบนใบหน้า และสามารถสังเกตได้ดังนี้
- ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ริ้วรอยบนหน้าผากและหว่างคิ้ว ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้า และเมื่อเวลาผ่านไปมักจะมีร่องลึกขึ้นเรื่อยๆ
- ริ้วรอยหางตา หรือ ตีนกา มักเริ่มเป็นริ้วรอยบางๆ และตื้นๆ ก่อน แล้วจึงค่อยๆ ลึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ตีนกามักเป็นริ้วรอยแรกๆ ที่เราเริ่มสังเกตเห็น เพราะผิวหนังบริเวณรอบดวงตาบอบบางกว่าบริเวณอื่นบนใบหน้า จึงมักเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่า
- ริ้วรอยบริเวณมุมปากและจมูก ริ้วรอยบริเวณนี้มักจะสัมพันธ์กับการสูญเสียวอลลุ่มใต้ชั้นผิวและผิวที่หย่อนคล้อย
- ริ้วรอยทั่วใบหน้า ริ้วรอยเล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ริ้วรอยเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่เราแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเท่านั้น แต่สามารถมองเห็นได้ตลอดเวลาแม้เวลาเราทำหน้าเฉยๆ การยืดหยุ่นของผิวและความหนาแน่นของผิวที่ลดลงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหล่านี้ ซึ่งมักกระจายอยู่ทั่วใบหน้า แต่ตำแหน่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดคือบริเวณรอบๆ ดวงตา โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา
วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้า
- การทำทรีทเมนท์ : ถึงแม้ว่าเราจะหยุดการเกิดริ้วรอยและสัญญาณแรกเริ่มแห่งวัยอื่นๆ ไม่ได้ แต่การทำทรีทเม้นท์ เป็นอีกหนึ่งวิธีลดริ้วรอยบนใบหน้าที่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยและยกกระชับผิวได้ โดยวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือ การฉีดโบท็อกซ์ โบท็อกซ์ทำงานโดยการทำให้กล้ามเนื้อในจุดที่ฉีดไม่สามารถขยับได้ชั่วคราว โดยส่วนมากการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยมักฉีดบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา โดยเฉพาะบริเวณหางตา เพื่อลดริ้วรอยที่มักเกิดขึ้นเวลาเราแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น รอยตีนกา ผลของการฉีดโบท็อกซ์จะค่อยๆ ลดลงในระยะเวลาไม่กี่เดือน และต้องฉีดซ้ำหากต้องการให้เห็นผลต่อเนื่อง ซึ่งการเลือกใช้วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์นั้น ก็เป็นตัวช่วยลดริ้วรอยที่สามารถเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนและใช้เวลาไม่นาน แต่ริ้วรอยจะหายไปในระยะเวลาสั้นๆ แค่เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น และจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหากไม่ได้รับการฉีดเพื่อเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง
- การใช้ผลิตภัณฑ์ครีมลดริ้วรอย : นอกจากการทำทรีทเม้นท์แล้ว การใช้ผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและสะดวก เพราะนอกจากช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ยังสามารถฟื้นฟูผิวได้ลึกถึงต้นตอของสาเหตุ จึงจำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับลดริ้วรอยตามช่วงวัยต่างๆ และควรมีส่วนผสมของสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เพื่อช่วยลดเลือนและป้องกันริ้วรอยบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
3.ปัญหา หน้าหมองคล้ำ
หน้าหมองคล้ำอาจเป็นปัญหากวนใจที่มักเกิดขึ้นหลังผิวหน้าเผชิญกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ เช่น แสงแดด หรืออากาศหนาว หรืออาจเกิดจากปัจจัยอื่นในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด การสูบบุหรี่ หรือความเครียด อย่างไรก็ตาม การดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ทางการแพทย์ในปัจจุบันอาจช่วยแก้ไขปัญหาหน้าหมองคล้ำให้ผิวหน้ากลับมาขาวใสได้อีกครั้ง
- แสงแดด แม้การรับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าช่วยให้ผิวหนังผลิตวิตามินดีซึ่งจำเป็นต่อพัฒนาการของกระดูกและสุขภาพของผิวหนัง แต่การรับแสงแดดที่ร้อนจ้าหรือถูกแดดเป็นเวลานานเกินไป อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผิวได้ นอกจากทำให้หน้าหมองคล้ำ ผิวหยาบกร้าน มีจุดด่างดำ รังสียูวีจากแดดจะทำลายเส้นใยในผิวหนังหรืออีลาสติน (Elastin) ทำให้ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น เป็นริ้วรอย ขาดความกระชับตึง ดังนั้น การรักษาผิวให้กลับไปดีดังเดิมจึงเป็นไปได้ยาก และอาจเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังจากรังสียูวีได้ด้วยเช่นกัน
- สภาพอากาศ อากาศที่หนาวเย็นจะดูดซับความชุ่มชื้นไปจากผิว ทำให้ผิวแห้งและแตกเป็นขุย ส่งผลให้หน้าหมองคล้ำได้ แม้ไม่ได้อยู่ในสภาพอากาศเย็นจัด แต่การอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ก็อาจทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากอากาศภายในห้องมีความชื้นต่ำ โดยสภาพผิวที่แห้งมาก ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ด้วย เช่น ผิวแตก ผิวลอก มีผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ เป็นต้น
- ความเครียด ความเครียดอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ผิวแห้ง และอาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย เนื่องจากเมื่อเผชิญความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นจนทำให้เกิดสิวนั่นเอง
- การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากเกินไป การใช้ทั้งคลีนเซอร์ ครีมบำรุงผิว หรือโลชั่น อาจทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ เกิดอาการระคายเคืองและผิวลอกได้ เนื่องจากส่วนประกอบต่าง ๆ ในครีมทาผิว อาจมีปฏิกิริยากับสารบางชนิดจนส่งผลให้ประสิทธิภาพของครีมชนิดอื่น ๆ ลดลง เช่น การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกหรือกรดไกลโคลิก จะลดประสิทธิภาพของผลิตภัณ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอล ไฮโดรควิโนน หรือวิตามินซี เป็นต้น
- การสูบบุหรี่ ควันบุหรี่ทำลายออกซิเจนในผิว ทำให้หน้าหมองคล้ำ แห้งกร้าน ดูแก่กว่าวัย และมีผิวมันมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนี้ นิโคตินในบุหรี่ยังทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี และทำให้ประสิทธิภาพของหลอดเลือดในการดูดซับวิตามินเอลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวแห้งและหยาบกร้าน
- ดื่มน้ำไม่เพียงพอ หากร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำอาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ ไม่มีสมาธิ และอาจเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส ไร้ชีวิตชีวา นอกจากนี้ ผิวหน้าซึ่งขาดน้ำเพราะดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปและพักผ่อนไม่เพียงพออาจหมองคล้ำและหย่อนคล้อยได้
- อายุ วัยที่เพิ่มขึ้นทำให้ผิวเสื่อมสภาพลงได้ โดยผิวหน้าจะเริ่มมีริ้วรอย หย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีฝ้าและกระเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งผิวหน้าหมองคล้ำลงด้วย
- การผลัดเซลล์ผิวช้า โดยปกติเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วมักหลุดลอกออกไปได้เองและจะผลัดเซลล์ผิวใหม่ทุก 28 วัน แต่กระบวนการผลัดผิวที่เกิดขึ้นช้าอาจส่งผลให้หน้าหมองคล้ำและหยาบกร้านได้
หน้าหมองคล้ำแก้อย่างไร ?
- ใช้ครีมกันแดด ควรปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดทุกวันแม้ในวันที่ไม่มีแดด โดยควรเลือกครีมกันแดดที่ป้องกันผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบีได้ โดยมีค่าป้องกันแสงแดด (SPF) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งในตอนกลางวัน
- เลิกสูบบุหรี่ ควันบุหรี่มีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่ทำให้ผิวขาดออกซิเจน และมีสารนิโคตินที่ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดจนทำให้ผิวแห้งและสีผิวเปลี่ยนไป นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังลดประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ รวมทั้งวิตามินดีซึ่งช่วยป้องกันและฟื้นฟูสภาพผิวที่ถูกทำลายด้วย การเลิกบุหรี่จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาหน้าหมองคล้ำได้
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยเฉพาะชนิดที่มีส่วนผสมของ AHA ซึ่งช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวหน้า หรืออาจปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อให้จ่ายยาเตรติโนอิน ซึ่งช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวหน้าดูสว่างและกระจ่างใสขึ้น
- บริโภควิตามินซี วิตามินซี เป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรง และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งกระจ่างใสขึ้น จึงควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีซึ่งพบมากในผักและผลไม้ต่าง ๆ เช่น ส้ม มะละกอ สตรอเบอร์รี่ มันเทศ และมะพร้าว เป็นต้น แต่หากต้องการบริโภควิตามินซีในรูปแบบอาหารเสริม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรให้ดีก่อนเสมอ รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ปรึกษาแพทย์ บางกรณีอาการผิวแห้งและใบหน้าหมองคล้ำอาจเกิดจากปัญหาสุขภาพได้ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคไต การไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจช่วยบรรเทาอาการและทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นได้
- เสริมความงามและศัลยกรรม หากใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือแก้ปัญหาหน้าหมองคล้ำด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมในการรักษาดูแลผิวหน้าให้กระจ่างใส เช่น
- สครับผิว เป็นการขัดผิวเพื่อลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป โดยใช้สารหรือวัตถุดิบต่าง ๆ มาสครับใบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น
- ลอกผิวด้วยสารเคมี เป็นการใช้สารเคมี เช่น กรดซาลิไซลิก กรดแลคติก หรือกรดคาร์บอลิก ทาลงบนผิวเพื่อช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออก กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ฟื้นฟูสภาพผิวให้สว่างและดูอ่อนกว่าวัย
- กรอผิวด้วยเครื่องมือ เป็นการลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว โดยการใช้เครื่องกรอผิวกำจัดผิวชั้นหนังกำพร้าออกไป เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส ใบหน้ากระชับ และลดริ้วรอยต่าง ๆ
- ลอกหน้าด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีการรักษาผิวหน้าที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าวิธีอื่น ๆ โดยแพทย์จะใช้เลเซอร์ลอกผิวหน้าเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ซึ่งช่วยให้ผิวหน้าที่โทรมและหมองคล้ำกลับมาสดใสอีกครั้ง
4.ปัญหาผิวแห้ง
ลักษณะของผิวที่ไม่มีความมันเกาะตัวอยู่บนชั้นผิว สังเกตได้จากความรู้สึกแห้งตึงผิวหลังล้างหน้า ซึ่งสาเหตุเกิดได้หลายปัจจัย มักสร้างปัญหาให้กับทุกคนได้อยู่เสมอ เนื่องจากสภาพผิวจะมีความแห้งกร้าน แตกลอกเป็นขุย หรือเป็นแผ่นออกมาชัดเจนจนสังเกตได้ และมักนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น ความไม่เรียบเนียน สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือบางคนเมื่อผิวลอกมาก ๆ มักมีแนวโน้มเกิดอาการแสบ ระคายเคือง เมื่อเผชิญกับปัจจัยต่าง ๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัว ด้วยเหตุนี้การดูแลผิวแห้งจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ
ประเภทของอาการผิวหนังแห้ง
- ผิวหนังแห้งจากการระคายเคือง มักเกิดในกรณีที่ผิวหนังไปสัมผัสกับสารเคมีบางอย่างจนทำให้เกิดความระคายเคือง แห้งลอกออกมา เช่น สารฟอกขาว, นิกเกิล
- ผิวหนังแห้งจากต่อมไขมันในร่างกายผลิตน้ำมันออกมาน้อยเกินไป จนทำให้ความชุ่มชื้นที่อยู่บนผิวไม่เพียงพอ จึงสังเกตเห็นเป็นผื่นแดง สะเก็ดขุย ๆ มักเกิดได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะ
***ผิวแห้งเกิดจากชั้นไขมันในผิว หรือที่เรียกว่า lipid barrier ถูกทำลายไป จึงทำให้มีการสูญเสียความชุ่มชื่นออกจากผิวมากกว่าปกติ เกิดเป็นผิวแห้ง ตึง ลอกเป็นขุย หากไม่ดูแลจะส่งผลให้เกิดอาการทางผิวหนังอื่นๆ ตามมาได้เช่นผื่น คัน หรือการติดเชื้อทางผิวหนัง จึงควรรักษาสมดุลความชุ่มชื้น โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เติมเต็มชั้นไขมันในผิว โดยเน้นที่เซราไมด์ชนิดที่จำเป็น คือ 1,3 6-II นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่รุนแรง หรือการทำความสะอาดผิวด้วยน้ำที่อุณหภูมิสูงเกินไป หากต้องอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นประจำ ควรบำรุงผิวด้วยครีมหรือโลชั่นสม่ำเสมอ และดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว
วิธีการดูแลรักษา ผิวแห้ง***
คนที่มีปัญหาผิวแห้ง เป็นขุย เกิดกับผิวพรรณของตนเอง แนะนำให้เริ่มต้นรักษาด้วยการดูแลจากภายในนั้นคือ อาหารที่ทานเข้าไป เน้นทานอาหารที่มีโอเมกา-3 เยอะ ๆ เนื่องจากสารอาหารชนิดนี้จะเพิ่มปริมาณชั้นน้ำมันในผิวให้หล่อเลี่ยงได้อย่างเพียงพอ อาหารยอดฮิตที่อุดมไปด้วยโอเมกา-3 เช่น ปลาแซลมอน, น้ำมันดอกคำฝอย, ปลาซาร์ดีน, ลูกวอลนัท รวมถึงควรทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง ๆ ด้วย เพราะนี่คือสารอาหารสำคัญในการเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังให้กับร่างกาย เมื่อมีคอลลาเจนเพียงพอ ผิวหนังของทุกคนก็จะเกิดความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ดูอิ่มน้ำมากขึ้น ซึ่งวิตามินซีส่วนใหญ่จะอยู่ในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ปิดท้ายด้วยการดื่มน้ำสะอาดต่อวันให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 แก้ว จะทำให้ผิวหนังอวบอิ่ม แถมยังได้สุขภาพที่ดีอีกด้วย
6 สัญญาณ ริ้วรอยก่อนวัย ไม่อยากแก่ก่อนวัยต้องดูแลด่วน
5.ปัญหาใต้ตาคล้ำ
ปัญหาใต้ตาดำหรือรอยคล้ำใต้ตานั้นสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย และมักจะเป็นมากเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน อย่างเช่น
- การอดนอน พักผ่อนน้อย เครียด อารมณ์แปรปรวน ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง เส้นเลือดตีบและทำให้เกิดรอยคล้ำชัดขึ้น
- กรรมพันธุ์
- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้นั้น เส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ขอบตาคล้ำกว่าคนทั่วไป
- การระคายเคืองบริเวณรอบดวงตา โดยเฉพาะการขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาจะไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น รวมถึงการแพ้ครีมอายครีมก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ใต้ตาคล้ำได้
- การไหลเวียนเลือดบริเวณรอบดวงตาไม่ดี การที่เลือดสูบฉีดได้ไม่ทั่วถึงทำให้เลือดไปคั่งตรงใต้ตาไม่กระจายไปที่อื่น เมื่อผ่านไปนานเข้าใต้ตาจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม และเพราะผิวบริเวณใต้ตาบอบบางมาก จึงทำให้มองเห็นเป็นสีดำเข้มกว่าส่วนอื่นๆ นั่นเอง
วิธีลดใต้ตาดำ ทำง่าย ได้ผลจริง
วิธีทำให้ใต้ตาหายดำ บอกเลยว่าไม่ยาก แต่อาจจะต้องใจเย็นๆ กันสักนิด เพราะต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเห็นผลของวิธีลดขอบตาดำ และเห็นความเปลี่ยนแปลง
- พักผ่อนให้เพียงพอ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ มีเวลาในการนอนหลับพักผ่อนน้อยลง อาจจะด้วยภารกิจที่รัดตัว หรือเนื่องจากมีกิจกรรมมากมายให้ทำระหว่างวัน เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยลดความเครียด รวมถึงความเมื่อยล้าของร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า รวมถึงช่วยรักษาระบบประสาทให้ทำหน้าที่ได้เต็มที่ทำให้ดวงตาสดใสไม่หมองคล้ำ ในแต่ละวัน คนเราควรที่จะนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงและควรเข้านอนก่อนเที่ยงคืน (เร็วกว่านั้นได้ยิ่งดีนะ) เพราะในเวลากลางคืนร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone ออกมาทำให้ผิวใสเด้ง แถมหน้ายังเด็กอีกด้วย เป็นวิธีลดใต้ตาดำที่ง่ายที่สุด แค่นอนก็สวยได้แล้ว
- กินวิตามินช่วยคุณได้ บางครั้งการที่ใต้ตาดำอาจเกิดจากการขาดวิตามินก็ได้ค่ะ เช่น วิตามินเคและซี มีส่วนช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ซึ่งหากร่างกายขาดวิตามินเหล่านี้ จะทำให้เส้นเลือดฝอยเปราะบางและแตกง่าย ซึ่งบริเวณใต้ตานั้นบอบบาง หากเส้นเลือดฝอยแตกในบริเวณนั้น เลือดไปสะสมอยู่บริเวณใต้ตา และทำให้ใต้ตาคล้ำนั่นเองค่ะ นอกจากวิตามินเคและซี ยังมีวิตามินเอและอี ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวหนัง ทำให้บริเวณใต้ตาไม่แห้งและลดการเกิดรอยดำใต้ตาได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนก็เป็นอีกวิธีลดใต้ตาดำที่สามารถทำได้ไม่ยาก แถมยังทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย
- ทาครีมรอบดวงตา เลือกใช้ครีมบำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนประกอบของสารช่วยให้ผิวขาวใส (Whitening Agents) เช่น มีส่วนผสมของวิตามินซี, เรตินอล, กรดโคจิก, ลิโคไลซ์, อาร์บูติน, ไฮโดรควิโนน หรือครีมที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้รอยดำคล้ำใต้ตาจางลงได้ภายใน 3-4 สัปดาห์ โดยทาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกวัน จะช่วยให้ผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำแลดูจางลงได้
- ประคบด้วยถุงชา ใครที่รักการดื่มชาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บอกเลยว่าต้องเลิฟวิธีลดใต้ตาดำ วิธีนี้แน่นอนค่ะ เพียงเพื่อนๆ ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เพียงแค่นำถุงชาที่ชงเรียบร้อยแล้ว ไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที
- จากนั้นนำมาวางทับบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วนำถุงชาออก
วิธีนี้เหมาะสุดๆ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายหรือบวมง่าย เพราะถุงชาที่ใช้นั้นมาจากธรรมชาติ ล้วนๆ ไม่มีสารเคมีใดๆ มาระคายเคืองผิวด้วย
5.ประคบเย็น อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ใต้ตาดำคล้ำมาจากการที่เลือดฝอยแตกและเกิดการคั่งใต้บริเวณผิวหนัง ดังนั้นวิธีลดใต้ตาดำสุดคลาสสิค คือ การประคบเย็นเพื่อลดอาการคั่งนั่นเองค่ะ โดยสามารถใข้วิธีประคบเย็นดังต่อไปนี้ ใช้เจลประคบเย็น แช่ตู้เย็นประมาณ 15-20 นาที จากนั้นนำมาห่อด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก และนำมาประคบรอบๆ ดวงตา
นำช้อนกินข้าวที่เป็นสแตนเลส ไปแช่ในตู้เย็น ประมาณ 15-30 นาที จากนั้นนำช้อนมาประคบบริเวณใต้ตา หรือ ใช้ช้อนครอบตาทิ้งไว้ประมาณ 5-10 วินาที
6.ปัญหารูขุมขนกว้าง
ปัญหารูขุมขนกว้าง ส่วนใหญ่มักเป็นปัญหาที่เกิดมาจากพันธุกรรม โดยรูขุมขนใหญ่มักจะพบได้ในบริเวณ T-zone และเกิดขึ้นบ่อยสุดในคนผิวมัน รูขุมขนเป็นสิ่งที่ต้องมีกันทุกคน แต่ถ้าอยากให้รูขุมขนเล็กลง ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า จะทำให้เล็กขนาดไหน แบบไม่เหลือรูเลยหรือเนียนแบบท้องแขนเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ! เพราะยังไม่มีวิธีใด ๆ ที่สามารถทำให้เรียบได้ขนาดนั้น ยิ่งบริเวณจมูกยิ่งยากใหญ่ แต่ก็สามารถแก้ปัญหารูขุมขนกว้างให้เล็กลงได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
สาเหตุรูขุมขนกว้าง
- การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม ปัญหารูขุมขนกว้างนั้นมักเกิดจากการดูแลผิวที่ผิดวิธี เช่น การไม่ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ไม่ล้างเครื่องสำอางก่อนเข้านอน ไม่ขัดผิว ไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เลย เป็นต้น
- สิวอุดตันและสิวหัวดำ สิวคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้รูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชอบบีบสิวเป็นประจำ
- ฮอร์โมนของวัยแรกรุ่น สำหรับวัยนี้จะเป็นวัยที่รูขุมขนจะขยายใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะผิวจะมีการขับความมันออกมามากขึ้น
- ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไป เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดรูขุมขนกว้าง เพราะถ้าต่อมใต้ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไป ก็จะเกิดการขยายของรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกว้างได้
- แสงแดด การถูกแสงแดดเป็นประจำจะทำให้ผิวของคุณหนาขึ้น และนั่นอาจเป็นสาเหตุทำให้รูขุมขนอุดตันจนทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นได้ อีกทั้งแสงแดดยังเป็นตัวทำลายอีลาสตินและคอลลาเจนใต้ผิว ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่น คอลลาเจนที่เป็นตัวรักษาความกระชับก็ถูกทำลายไป ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น
- พันธุกรรม สำหรับใครที่คุณพ่อหรือคุณแม่เป็นคนที่มีรูขุมขนกว้าง มันก็ไม่แปลกเลยที่คุณจะเป็นแบบนั้นด้วย
- สภาพแวดล้อม ความเครียด สิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน ฯลฯ
วิธีกระชับรูขุมขน
- รักษาความสะอาดาด
- ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำเย็นวันละ 2 ครั้ง
- ดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รูขุมขนกว้างที่เกิดจากการอุดตันของไขมัน
- ขจัดความมันบนใบหน้า พยายามทำผิวให้แห้ง
- โทนเนอร์กระชับรูขุมขน
- ครีมหรือซรั่มกระชับรูขุมขน
- หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางบางชนิด
- ใช้เครื่องสำอางสูตรปกปิดหรือพรางรูขุมขน
- ปกป้องผิว
- แผ่นลอกสิวเสี้ยน
- ประคบน้ำแข็ง
- สครับผิวลดรูขุมขน
- พอกหน้ากระชับรูขุมขน หรือ มาส์กกระชับรูขุมขน
- รับประทานยาในกลุ่มของกรดวิตามินเอ
- การทาครีมที่ผสมด้วยกรดผลไม้อ่อน ๆ
- การทำไอออนโตโฟเรซิส
- การฉีดเมโสลดรูขุมขน
- ฉีดฟิลเลอร์
- ฉีดโบทอกซ์กระชับรูขุมขน (Botox) หรือ การฉีดเมโสโบทอกซ์
- เดอร์มาโรลเลอร์
- การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี หรือ ไมโครเดอร์มาเบรชั่น
- การทำ IPL
- เลเซอร์กระชับรูขุมขน / คลื่นความถี่วิทยุ (RF)
- โฟโต้ชอปหรือโปรแกรมแต่งรูปต่าง ๆ
วันดี คลินิก ขอนแก่น (wandee clinic ) คลินิกความงาม ที่ได้มาตรฐาน ครบวงจร พร้อมมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีความยินดีที่จะให้บริการ และคอยให้คำปรึกษาแก่คุณลูกค้าทุกท่านและแก้ปัญหาที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ฉีดโบท็อกซ์ 2022 , ฉีดโบท็อกซ์ที่ไหนดี , รีวิวโบท็อกซ์2022 , คลินิก ขอนแก่น , ศัลยกรรมขอนแก่น อย่างเป็นกันเองค่ะ
สามารถสอบถามเพิ่มเติมที่:
วันดี คลินิก 344/17 ซอยรื่นรมย์ ต.ในเมือง อ.เมือง ขอนแก่น 40000
Tel: 097-9355556
Line: @wandeeclinic
Line คลิกที่ : https://line.me/R/ti/p/%40wandeeclinic
เว็บไซต์ : www.wandeeclinic.com