sculptra vs filler ประจันหน้าศึกผิวเนียน ต่างกันอย่างไร ?

sculptra vs filler

อยากหน้าเด็ก ผิวเด้งเต่งตึง ดูอ่อนกว่าวัยต้องทำยังไงดี?  สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ คนไหนที่ต้องกำลังลังเลใจว่า Sculptra vs filler ควรเลือกฉีดตัวไหน? Sculptra กับ filler มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? บทความนี้จาก Wandee Clinic จะพาทุกคนไปทำความรู้จักหัตถการบำรุงผิวทั้ง 2 ชนิด พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่างของ Sculptra vs filler โดยละเอียด 

สารบัญ

Sculptra คืออะไร 

 หากเป็นช่วงหลายปีก่อนหลาย ๆ คนอาจตอบตรงกันว่าเป็นการเติมเต็มผิว ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แต่สำหรับช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีหัตถการฟื้นบำรุงผิวน้องใหม่ส่งตรงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Sculptra (สกัลป์ทรา) ที่นับเป็นนวัตกรรมล่าสุดของการฟื้นบำรุงผิวในระดับลึกที่มาแรง และน่าสนใจไม่แพ้การฉีดฟิลเลอร์

Sculptra คือ สารสังเคราะห์ตัวแรกและตัวเดียวของโลก ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติในผิวชั้นลึกได้อย่างเห็นผล (The First & Original Collagen Biostimulator) มีส่วนประกอบหลักเป็นกรด Poly-L-Lactic (PLLA) ที่สังเคราะห์บริสุทธิ์จากพืช ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวชั้นลึก (Subcutaneous) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเส้นใยอีลาสตินใหม่ ๆ ใต้ชั้นผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว และโครงสร้างชั้นผิวให้แข็งแรง ผิวกระชับ อิ่มฟูดูเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถสังเกตเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงหลังฉีดได้ 3-4 สัปดาห์ และช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่องถึง 25 เดือน  

sculptra vs filler

จุดเด่นของ Sculptra 

  • Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว โดยมีผลการวิจัยรองรับว่า Sculptra สามารถกระตุ้นให้เกิดการผลิต Collagen Type 1 ได้สูงถึง 66.5% หลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน ให้ผลลัพธ์การฟื้นฟูผิวสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ปรับผิวให้แข็งแรงจากภายใน 
  • Sculptra เป็น Collagen Biostimulator ตัวแรก และตัวเดียวของโลกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก US-FDA ว่ามีความปลอดภัย ไม่ตกค้างภายในร่างกาย และผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. ประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย
  • เริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังฉีด ช่วยฟื้นฟูผิวได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 25 เดือน
  • Sculptra เป็นสารสังเคราะห์บริสุทธิ์จากพืช จึงมีความเข้ากันทางชีวภาพกับร่างกายได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ เหมือนการใช้สารเคมี หรือสารสังเคราะห์จากมนุษย์หรือสัตว์ 

Filler คืออะไร

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มผิว (Dermal Filler) ในกลุ่มของกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid:HA) ซึ่งเป็นสารที่สังเคราะห์เลียนแบบกรดไฮยาลูรอนิกตามธรรมชาติในชั้นผิวมนุษย์ ใช้ฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง เพื่อเสริมชั้นผิวให้เต่งตึง และกระชับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดริ้วรอยร่องลึกให้ดูจางลง เพิ่มวอลลุ่มให้ผิวดูอิ่มฟู เต่งตึง ใบหน้าอ่อนเยาว์ลง สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังการฉีด คงผลลัพธ์หลังการฉีดได้นานประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ ปริมาณตัวยาที่ใช้ ตำแหน่งที่ฉีด และเทคนิคการรักษาของแพทย์แต่ละท่าน 

sculptra vs filler

จุดเด่นของ Filler 

  • ฟิลเลอร์เป็นหัตถการเติมเต็มผิว ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด 70-80% และเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลง ได้อย่างชัดเจนในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด
  • ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มผิว ทำให้ผิวหน้ามีวอลลุ่มได้สัดส่วนที่สวยงามมากขึ้น จึงเหมาะกับการฉีดปรับรูปหน้า และแก้ไขจุดบกพร่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
  • ฟิลเลอร์ เป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบกรดไฮยาลูรอนิก ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ จึงเป็นหัตถการฟื้นบำรุงผิวที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และมีผลข้างเคียงหลังการรักษาน้อย ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย จากทั้ง US-FDA, EU และมาตรฐาน อย. ประเทศไทย 
  • สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน ผิวหน้าดูสวยงามเป็นธรรมชาติ สามารถเติม และปรับแต่งฟิลเลอร์ได้เรื่อย ๆ และสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ หากไม่พอใจผลลัพธ์หลังฉีด 

Sculptra vs filler ต่างกันอย่างไร

ด้วยผลลัพธ์ที่ได้หลังจากการฉีด Sculptra vs filler ที่มีความคล้ายคลึงกัน คือช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนเต่งตึง ริ้วรอยแลดูจางลง ผิวหน้าดูเปล่งปลั่งกระจ่างใสมากขึ้น อาจทำให้หลาย ๆ คนเข้าใจว่า Sculptra กับ filler นั้นเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วนั้นทั้ง 2 หัตถการนี้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • ตัวยาที่ใช้: Sculptra มีองค์ประกอบหลักเป็น PLLA ที่สังเคราะห์บริสุทธิ์จากพืชมีคุณสมบัติหลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ในขณะที่ Filler เป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบกรดไฮยาลูกรอนิก (HA) ที่มีอยู่แล้วในร่างกายของมนุษย์
  • ลักษณะของตัวยา: ตัวยาของ Sculptra จะอยู่ในรูปแบบผง (PLLA Powder) ก่อนใช้จะต้องผสมกับน้ำกลั่นสเตอร์ไรด์ (Sterile Water) ส่วน Filler จะมีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความบางเบาคล้ายน้ำ และถูกบรรจุมาในเข็มไซริงค์ แพทย์สามารถใช้ฉีดเติมเต็มผิวได้ในทันที   
  • หลักการทำงาน: Sculptra จะทำงานร่วมกันกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้นในระยะยาว ส่วน Filler จะเน้นไปที่การเติมเต็ม และทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว และปรับเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิวเป็นหลัก (มี Filler บางตัวที่เพิ่มคุณสมบัติการฟื้นบำรุงผิวเข้ามาด้วย เช่น Belotero Revive ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรอล ทำให้ผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาวมากขึ้น)
  • ระยะเวลาเห็นผล: Sculptra เน้นการฟื้นบำรุงผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังฉีด สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 25 เดือน ซึ่งให้ผลลัพธ์ชนิดกึ่งถาวร ในขณะเดียวกัน Filler จะเน้นสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด คงผลลัพธ์หลังการฉีดได้สูงสุด 6-18 เดือนซึ่งให้ผลลัพธ์ได้แบบชั่วคราว (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ ตำแหน่งที่ฉีด และเทคนิคการรักษาของแพทย์ด้วย) 
  • จำนวนครั้งที่ต้องฉีด: Sculptra จะต้องฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง ทุกๆ 4-6 สัปดาห์ และหลังจากนั้นสามารถเว้นความถี่เป็น 1 ครั้ง/ปี เพื่อคงผลลัพธ์ผิวอ่อนเยาว์ ส่วนการฉีดฟิลเลอร์จะฉีดแค่เพียง 1 ครั้งในแต่ละบริเวณที่ต้องการรักษา และสามารถเข้ามาเติมฟิลเลอร์ได้อีก ครั้งหลังจากที่ฟิลเลอร์เริ่มสลาย
  • การฉีดสลาย: Filler สามารถฉีดสลายได้ หากไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้หลังการฉีด แต่ Sculptra ไม่สามารถฉีดสลายได้ และต้องรอให้ตัวยาค่อย ๆ สลายไปตามธรรมชาติเท่านั้น
  • ตัวเลือกยี่ห้อ: Filler มียี่ห้อยอดนิยมให้เลือกใช้หลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นมีขนาดโมเลกุล และเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตแตกต่างกันออกไป เช่น e.p.t.q. , Juvederm, Restylane, Neuramis, Belotero, Yviore ฯลฯ ในขณะที่ Sculptra เป็น Collagen Biostimulator เพียงยี่ห้อเดียวที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก US-FDA 
  • ความเสี่ยงของการรักษา: ทั้ง 2 หัตถการจะต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้รักษาเท่านั้น เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะการฉีดฟิลเลอร์ที่เป็นสารเติมเต็มผิวเนื้อเจล ที่อาจเสี่ยงทำให้เกิดก้อนแข็ง ฟิลเลอร์ไหลย้อน ทำให้หน้าดูแข็งไม่เป็นธรรมชาติ เสี่ยงทำให้ตาบอดหรือเส้นเลือดเกิดการอุดตัน หากผู้ที่ฉีดขาดความรู้และประสบการณ์

Sculptra vs filler เลือกฉีดตัวไหนดี?

จากความแตกต่างเหล่านี้จึงอาจสรุปได้ว่า Sculptra เหมาะกับการดูแลผิวทั่วทั้งใบหน้า ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการฟื้นบำรุง และปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ เน้นผลลัพธ์ผิวสวยเปล่งปลั่ง ริ้วรอยจางลง ผิวกระจ่างใสขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนการฉีดฟิลเลอร์นั้นเหมาะกับการแก้ปัญหาผิว และเติมเต็มเฉพาะจุด เพิ่มวอลลุ่มให้ผิว เช่น การเติมขมับ เติมร่องลึกใต้ตา เติมแก้มตอบ ฯลฯ เน้นสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทันทีหลังฉีด การตัดสินใจว่าจะฉีด Sculptra หรือ ฉีด filler นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ร่วมกับการประเมินสภาพผิวโดยแพทย์ผู้ทำการรักษา

ทั้งนี้สามารถฉีด Sculptra และ filler เพื่อบูสต์ผลลัพธ์ดูแลผิวได้ แต่จะไม่ฉีดในตำแหน่งเดียวกัน สำหรับเคสที่ต้องฉีดตัวยาทั้ง 2 ชนิดในตำแหน่งเดียวกัน แพทย์จะฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเติมความเต่งตึงให้ผิวก่อน แล้วจึงเติม Sculptra เข้าไปในภายหลังโดยเว้นช่วงห่างจากกันประมาณ  1 เดือน

สรุป

สาว ๆ คนไหนที่กำลังสนใจอยากฟื้นฟูผิวให้เปล่งปลั่งกระจ่างใส หน้าดูเด็กลงด้วยการฉีด Sculptra vs filler แต่ยังไม่แน่ใจว่าหัตถการชนิดไหนจะเหมาะสม และช่วยแก้ปัญหาผิวของตัวเองได้ดีที่สุด สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้เลยวันนี้ที่ วันดี คลินิก ทุกสาขาค่ะ